วิธีคิดกับชีวิตแบบ...บุ๊นบุญ (แนวการใช้ชีวิตดีๆ ของ ผศ.บุญวัฒนา บุญธรรม อาจารย์เกษียณอายุราชการปี 2556)
วิธีคิดกับชีวิตแบบ...บุ๊นบุญ
“บุ๊นบุญ” เป็นชื่อที่ชาวคอนโดตั้งให้ ชอบมากค่ะ ดูเหมาะสมกับตัวเองจัง เมื่อผ่านชีวิตมาตั้ง 1864 โค้งจนองค์ความรู้เรื่องชีวิตตกตะกอนดั่งขี้เปอะใต้น้ำปิง และมองทะลุแล้วว่า “อนาคตไม่ไช่ อนาตรง” ไม่อาจคาดได้ว่าจะมีโอกาสผ่านต่อไปอีกกี่พันโค้ง ณ เวลาที่มีอยู่ของคนที่เคยเรียนวิชา “ปรัชญาชีววิทยา” จึงอยากเอาใจผู้ร่วมคอหอยและลูกกระเดือกทั้งหลาย เล่าบางมุมที่ยาว ๆ แบบสั้น ๆ ให้ฟังตามคำบัญชาของผู้บังคับบัญชาคนสุดท้ายในชีวิตราชการที่สังกัดคณะวิดไม่แห้ง แห่งพระราชวังเวียงบัว ถนนด้ามมีดไม่ตรง ตำบลช้างสีขาว จังหวัดเพิ่งสร้าง ค่าตอบแทนครั้งนี้รับเต็ม ๆ เป็น... “แฟนปากกา” ถ้าใครไม่อยากมีส่วนได้เสียจะฉีกกระดาษแผ่นนี้ไปห่อถั่ว หรือโยนข้ามรั้วไปเป็นภาระของ คนข้างบ้านก็เลือกเอาตามสะดวก
คอหอยจ๋า... ไม่มีลูกกระเดือกที่ไหนทำงานเป็นสุขตลอดชีวิตหรอก ไอ้ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกแล้วหลอกตัวเองไปวัน ๆ มันก็อยู่ที่มุมมองนี่แหละ การทำงานก็ต้องประสบทั้งความสำเร็จและความล้มเหลวสลับกันไปเหมือนรูปทรงระฆังคว่ำของกราฟพาราโบลานั่นแหละ ขาขึ้น...เข้าเกียร์เดินหน้าร่าเริงตีปีกผับผับดั่งไก่จะบิน สมกับคำกลอนที่ว่า เมื่อมากมี มิ่งมิตรมุ่งหมายมอง โต้ลมจนว่าวเหนื่อย...บอบช้ำแล้วถูกฉุดลงตามแรงโน้มถ่วงของพรรคตรงข้ามก็ต้องพึ่งแรงหน่วงยื้อกันสุดฤทธิ์ กลอนบทเดียวกันก็เขียนต่อว่า เมื่อมัวหมอง มิตรมองเหมือนหมูหมา เมื่อไม่มี หมดมิตรมุ่งมองมา เถอะน่า...อย่าเพิ่งไปสนใจบาทสุดท้ายเลย ขาขึ้นหรือขาลงถ้าเราละความมีตัวตน เราก็สามารถหาความสุขได้ไม่ใช่หรือ “ความสุขอยู่ที่การยอมรับสถานะของตนเอง” (คือเมฆสีขาว ติช นัท ฮันห์ หน้า 26) เมื่อทำตามที่ว่าไม่ได้ก็... มีทุกข์ ...มันก็เท่านั้นเอง...จึงเป็นธรรมดาที่ตับอ่อนกับม้ามต้องปรับทุกข์กันทั้งในที่ลับและแจ้ง ผู้จัดการคลังน้ำมันให้คำปรึกษาอย่างเต็มที่ แทนที่จะชี้ทางบรรเทาทุกข์และชี้สุขเกษมศานต์กลับช่วยสาดน้ำมันเข้าไปในกองไฟ เรื่องเล็กจึงขยายเป็นเรื่องใหญ่ โอ้สุดยอด....ขาเชียร์อันเริดหรูแต่...ดูพิกล บุ๊นบุญหวนนึกถึงคำพูดของแม่ชีศันสนีย์แห่งเสถียรธรรมสถานว่า “ยามทุกข์ อย่าเดินเข้าหาคนที่มีน้ำมันที่พร้อมจะสาดเข้าหากองไฟ”
อวัยวะทั้งหลาย...เมื่อทำงานร่วมกัน “อย่ามองสิ่งใดเพียงเปลือกภายนอก แต่ให้มองเนื้อแท้ภายในด้วย อย่าฟังแต่คำพูด จงฟังที่เจตจำนงในการกระทำของเขาด้วย เราจะไม่สูญเสียมิตรไปโดยไม่รู้ตัว และไม่สร้างศัตรูโดยไม่รู้ตัวอีก” (โอวาทท่านต้าเชี่ยว ผ่อถง หน้า 6) และในหน้า 26 ท่านยังบอกอีกว่า “คนเราต้องรู้จักฝืนใจตนเองบ้าง จะให้ทุกอย่างเป็นดั่งใจตามที่คิดตลอดไม่ได้ คนที่ยอมอดทนอดกลั้นเท่านั้นจึงจะเป็นผู้ที่อยู่ที่ไหนก็อยู่ได้ จะทำอะไรก็สำเร็จ อยู่ที่ไหนก็มีความสุข คนที่ไม่เคยฝืนใจตนเอง ไม่อดทน จะอยู่ที่ไหนก็รุ่มร้อนไปหมด” ท่านติช นัท ฮันห์ เขียนไว้ในหนังสือเมตตาภาวนา คำสอนว่าด้วยรัก หน้า 39 ว่า “เมื่อเธอใช้กุญแจแห่งความเข้าใจไขประตูของความรัก เธอจะได้เรียนรู้ถึงการยอมรับตนเองและผู้อื่น...ถ้าเธอขัดแย้งกับคนรอบข้างนั่นแหละเป็นเพราะตัวเธอมีความขัดแย้งอยู่ภายใน”
กว่าลิ้นจะคิดได้อย่างนี้ก็เป็นเหยื่อให้เขี้ยวยาววัยเก๋ากว่างับจนเจ็บระบมตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำงานเลยละ เกือบจะโยนผ้าทิ้งบนเวทีมวยแบบไม่ครบยกนับครั้งไม่ถ้วน เอาเถอะ...เสียค่าโง่ไปบ้างก็ไม่เป็นไร ความโง่จะได้ลดน้อยลงบ้าง อีกทั้งได้ทำบุญให้เขี้ยวยาววัยเก๋าดีใจว่าการวางแผนเอาเปรียบผ่านไปได้อย่างราบรื่น คำกลอนของสุนทรภู่ที่ท่องในวัยเด็กย้อนเข้ามาในจิตใต้สำนึก “รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง” และ “รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี” ลิ้นค่อย ๆ ประคองตัวผ่านวิกฤตมาถึงขั้นเจริญวัยขึ้นจึงสัมผัสได้ว่า ฟ้าก็มีตาจริง ๆ เขี้ยวยาวแต่ละคนโดนเช็คบิลด้วยอาการต่าง ๆ กัน ละอ่อนเอย...จาวเหนือเอิ้นว่า... “ห่างงูให้ห่างศอก ห่างวอกให้ห่างวา ห่างคนพาลา(พาล)ให้ห่างร้อยโยชน์พันโยชน์”...เข้าใจก่อ
เมื่อลำไส้ไม่ได้รับความยุติธรรมก็ต้องขยับตัวเรียกร้อง ศาลปกครองคือที่พึ่งของพวกกรดไหลย้อนในยุคนี้ ก่อนจะไปถึงขั้นนั้น อยากให้ไส้ติ่งลองมาพิจารณาคำพูดของเดล คาร์เนกี ที่เขียนไว้ในหนังสือ วิธีชนะมิตรและจูงใจคน หน้า 186 ดูก่อนนะ “จงให้ทางแก่หมาแทนที่จะต่อสู้กับมันเพื่อรักษาสิทธิ์ของท่าน จนท่านถูกมันกัดเอา แม้ท่านจะฆ่าหมาตัวนั้นเสีย แต่ท่านยังคงมีแผลถูกกัดอยู่นั่นเอง” ถ้าไส้ติ่งยังมีอารมณ์อยากมีเรื่องต่อ...ก็ลองฟังคำสอนของดร. อมรา มะลิลาหน่อยปะไร “เรื่องอะไรจะเอาตัวเองไปท้าตีท้าต่อยกับคนไม่มีราคาอย่างนั้น เราจะเลือกใครมาเป็นคู่ชกต้องให้สมน้ำสมเนื้อ สมศักดิ์ศรีกันสักหน่อย เมื่อเราไม่เห็นคุณค่าของเขาเสียแล้ว เราก็จะคลายความผูกพันกับเขา จิตเราจะค่อย ๆ สงบขึ้น” ถ้าอ้างอิงสองปรมาจารย์แล้วยังทำใจไม่ได้ก็...ตัวใครตัวมันก็แล้วกันนะ ก่อนจะเดินหน้าลุยต่อ...หยุดคิดประโยคนี้สักนิดก่อนดีไหม “อย่าบ่นในเรื่องหิมะรุงรังตามหลังคาเพื่อนบ้านของท่าน ในเมื่อบันไดบ้านของท่านก็ยังสกปรกอยู่” (เดล คาร์เนกี ล.ด. หน้า 52)
ครั้งหนึ่งในตำนาน บุ๊นบุญได้รับเชิญไปนั่งเก้าอี้จะตำแหน่งสำคัญขนาดไหนก็ไม่ใช่ประเด็น ท่านพี่ผู้ผาดโผนในยุทธจักรคงเห็นความไร้เดียงสาจึงให้ความกรุณาเตือนว่า “เธอต้องรู้จักแยกแยะว่าคนรอบข้างกำลังด่าตัวเธอหรือด่าเก้าอี้ที่เธอนั่ง ไม่ว่าเขาจะด่าอะไรให้เก็บมาคิดแล้วปรับปรุงตนเอง วันใดที่เธอดำรงตำแหน่งเธอต้องระลึกถึงวันที่เธอลงจากตำแหน่งไว้เสมอ จุดจบของผู้บริหารมี 2 ทางคือ ไม่หมดเวลา...ก็...ถูกเขาแซะทิ้ง” บุ๊นบุญโชคดีที่มีกัลยาณมิตรคอยตักความคิดออกและเติมความคิดใหม่อยู่เสมอ น้ำจึงไม่ล้นแก้ว บางครั้งเคยตัดสินใจแบบดาบที่ทำจากเหล็กกล้าไล่ฟันคนอื่นกระจุยกระจาย ไม่หนำใจไม่เลิก ก็ได้ยินคำคมมากระทบหู “เหล็กกล้า...ระวังจะเจอตาไม้ไผ่” และ “จะเผาข้าวหลามอย่าใช้ไฟแรง ไฟอ่อนและค่อย ๆ หมุนกระบอกไปรอบ ๆ จะทำให้ข้าวหลามทั้งสุกนิ่มและหอม” เสียงสั่งสอนและกำลังใจจากท่านพี่ทุกคนในยุทธจักรเซ้าหลินต่างกรรมต่างวาระเป็นมรดกอันประมาณค่ามิได้ ทำให้บุ๊นบุญสำนึกในพระคุณทุกครั้งที่มีเหตุต้องงัดออกมาเตือนใจ
ณ เพิงเล็ก ๆ ข้างทางก่อนเข้าอำเภอเชียงดาว ร้านโนเนมเปิดกิจการเผาข้าวหลามขายเพียงเวลาไม่กี่สัปดาห์เฉพาะในฤดูหนาว ใครอยากกินต้องไปเข้าคิวนั่งรอ รอได้รอไป หมดเมื่อไรเลิกขายเมื่อนั้นบางครั้งต้องสั่งข้ามวันจึงจะได้กิน เคยถามเจ้าของกิจการว่าทำอร่อยขนาดนี้ทำไมไม่ทำขายทั้งปี เขาตอบว่าเยื่อไผ่ที่จะทำข้าวหลามให้อร่อยได้มีเพียงฤดูเดียวเท่านั้น คำพูดแค่นี้ทำให้คนที่เป็นครูต้องย้อนคิด...แค่การเผาข้าวหลามขายกระบอกละซาวบาทยังพิถีพิถันในรายละเอียดและคุณภาพถึงขนาดนี้ แล้วการผลิตคนสู่ตลาดแรงงานจะแค่ลวก ๆ พอเส้นก๋วยเตี๋ยวและถั่วงอกสุก มันไม่มักง่ายไปหน่อยหรือ
เส้นก๋วยเตี๋ยวที่ขาดการคลุกด้วยน้ำมันกระเทียมเจียวกับกากหมูกรอบ กินแล้วไม่อร่อยเป็นฉันใด ชีวิตที่เคร่งเครียดก็กระด้างและแห้งแล้งก็เป็นเช่นนั้น ในยามว่างจากภารกิจประจำเราทุกคนต้องมีงานอดิเรก การปลูกต้นไม้เป็นสิ่งที่บุ๊นบุญชื่นชอบมาก เพียรรดน้ำให้ปุ๋ยทุกวัน ด้วยความเป็นคนมักน้อย แค่เห็นพัฒนาการของรากอวบ ๆ งอกออกมาเพียงนิ๊ดเดียวก็มองแล้วมองอีกด้วยความชื่นใจ ถ้าออกดอกด้วยก็แบ่งให้คนอื่นชื่นชม กว่ากล้าไม้ต้นน้อย ๆ จะโตขึ้นจนออกดอกสวยงามต้องใช้เวลาและความเอาใจใส่อย่างสม่ำเสมอเช่นไร การสอนคนก็ต้องทำแบบเดียวกัน ธรรมชาติบอกอะไร ๆ ที่เป็นสัจจะธรรมเสมอ เพียงแต่เราจะมองเห็นหรือไม่ ต้นปรงเป็นต้นไม้ราคาแพงที่สมควรจะปลูกอย่างยิ่ง ทำใจเรื่องอะไรไม่ได้ก็หันไปมองต้นปรง มองแล้วก็ค่อย ๆ เข้าใจว่าต้อง “ปลง” แล้วผ่อนคลายอารมณ์ด้วยการอ่านการ์ตูนตลก อ่านเรื่องตลก ดูหนังตลก ฟังเรื่องตลก และการแสดงตลกทุกประเภท ในความไร้สาระนั้นนอกจากจะให้ความเพลิดเพลินแล้วยังได้เห็นมุมที่คนอื่นมองข้าม ถึงจะติงต๋องไปบ้างแต่มันก็เป็นความจริงของชีวิตนะ
ต่อมไร้ท่อที่รัก...ถ้าไม่หวังก็ไม่มีคำว่า “ผิดหวัง” ขอให้พิจารณาโลกธรรมแปดซึ่งเป็นของคู่กันอย่างกับกินลูกชิดคู่กับเฉาก๊วย ลาภ มีก็ดี จะได้เอามาสร้างบุญต่อให้ยิ่งใหญ่ เสื่อมลาภ มีก็ดี จะปล่อยวาง ยศ มีก็ดี จะได้เกื้อกูลอย่างกว้างขวาง เสื่อมยศ มีก็ดี จะได้ไม่ต้องแบกความรับผิดชอบให้หนักหรือเครียดอีกต่อไป สรรเสริญ มีก็ดี แสดงว่าเขาพร้อมรับการเกื้อกูล นินทา มีก็ดี จะได้รู้ว่าใครมั่นคงแค่ไหน สุข มีก็ดี จะได้เจริญสมถะ ทุกข์ มีก็ดี จะได้เจริญวิปัสสนา (ฝึกจิตข้ามกาลเวลาสู่มหามิติ) ทุกอย่างผ่านเข้ามาเป็นแบบแพกเกจ ซื้อหนึ่งแถมหนึ่ง ไม่มีใครเลือกได้แต่ของดี ๆ โดยละเว้นของแถมได้หรอกจ้า
ผ่านมาทั้งสุขและทุกข์ตั้งแต่เป็นอาจารย์ขยับไปเป็น ผศ.ในวิทยาลัยครู ในสถาบันราชภัฏและเป็นปาจารย์ในมหาวิทยาลัยราชภัฏเบ็ดเสร็จก็ 37 ปี พยายามทำหน้าที่ด้วยความสำนึกในบุญคุณของแผ่นดินและตอบแทนบุพการีตลอดจนครูบาอาจารย์ที่ให้การอบรมสั่งสอนบุ๊นบุญมาเป็นอย่างดี ก็พบว่าทุกช่วงชีวิตมีแต่ความไม่แน่นอน พระอธิบดีอธิปญโญได้เขียนไว้ในหนังสือ สุขหรือทุกข์...อยู่ที่ใจ หน้า 3-4 ว่า “เราเป็นเช่นต้นไม้ เมื่อถึงฤดูกาลผลัดใบ มันก็สลัดใบทิ้งจนโกร๋นหมดต้นเลย แต่เมื่อฤดูกาลใหม่มาเยือนมันกลับผลิดอก ออกใบเสียจนเต็มต้น น่าอัศจรรย์ หากเราคิดได้ดั่งเช่นต้นไม้จริง ๆ จิตก็จะไม่มีทุกข์” ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปตามเวลา ไม่มีใครยึดอะไรไว้ได้นาน ดั่งที่ทมยันตีเขียนไว้หนังสือเรื่องเวียงกุมกาม หน้า 173 ว่า “มหาเทวีจงจำ สรรพสิ่งมิเคยยั้งยืนยง เมฆสูงเบื้องบนยังลอยต่ำได้ มิช้าก็กลายเป็นหยาดฝน แล้วก็ระเหยขึ้นไปกระทบเบื้องบนอีกครา สรรพสิ่งหมุนเวียนดุจจักรา ดั่งนั้นเจ้ากำเมฆไว้ได้ฤาไม่” สิ่งที่ทำไปแล้วมีทั้งผิดและถูก ถูกก็ดี ผิดก็เป็นครู จะได้เตือนตนให้ระวังในกาลต่อไป ทั้งหมดสิ้นก็แค่ “สถิตย์ทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา”
กาลเวลาผ่านไปแบบไม่มีการย้อนกลับ เช้าวันที่ 1 ตุลาคม 2556 เป็นวัน “ถอดหัวโขน” ที่สง่างามออกและในวันเดียวกันนั้นต้องพลิกผัน “ปาก” จากการสอนคนอื่นจนเคยชินให้ย้อนกลับมาสอนตนเอง ถ้ากลับเข้ามาเหยียบพระราชวังเวียงบัวอันเป็นที่รักอีกก็ต้องเจียมตัวว่าเป็น “คนนอก” ไปแล้ว กลไกทุกอย่างในราชภัฏเป็นหน้าที่ของคลื่นลูกใหม่ที่จะซัดสาดเข้าฝั่งต่อไป ขอบคุณทุกสิ่งแวดล้อมที่เคยอยู่ด้วยกันแบบเอื้ออาทร ขอสรุปด้วยคำสอนของท่านพุทธทาสภิกขุที่ว่า “เป้าหมายในชีวิตไม่ต้องการศีลมากมาย ขอให้ถือศีลข้อเดียว คือ อยู่ให้เย็นและเป็นประโยชน์” และ “ด้วยจิตว่างปล่อยวางทุกสิ่งอัน สารพันไม่ยึดครองเป็นของเรา” (มหรสพทางวิญญาณ สวนโมกขพลาราม สุราษฏร์ธานี) เมื่ออดีตไม่ได้เป็นแบบมัวหมอง อนาคตที่ยังมาไม่ถึงของบุ๊นบุญคงไม่จบแบบกลอนบาทสุดท้ายที่ว่า “เมื่อมอดม้วย หมูหมาไม่มามอง” หรอกนะจ๊ะ
หน้าที่ “เขียน” เป็นเรื่องของ...ผู้ใช้ชื่อว่า บุ๊นบุญ บุญตลอดกาล “อ่านแล้ว” จะเข้าใจอย่างไรเป็นเรื่องของท่าน...ไม่ว่ากันอยู่แล้วค่ะ